Click Like ถ้าชอบบล๊อกไซต์นี้

Click Like ถ้าชอบบล๊อกไซต์นี้

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

'อุ้มบุญไทยๆ' ไม่ใช่แค่ให้เช่ามดลูก

'อุ้มบุญไทยๆ' ไม่ใช่แค่ให้เช่ามดลูก

เป็นข่าวให้คนมีลูกยากดีใจได้สักพักใหญ่แล้ว รอก็แต่สภาตีตราเป็นกฏหมาย แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ "อุ้มบุญแบบไทยๆ" ยังมีสถานการณ์วัดใจตามมาอีกเยอ

ทำไมต้อง Super Resumeทำไม HR ต้องเลือกดู Super Resume ก่อนเรซูเม่ทั่วไป?www.jobtopgun.com
ไปเรียนต่อ อเมริกา กัน100 กว่ามหาวิทยาลัย ให้เลือกเข้า ติดต่อ IDP วันนี้ ทุกอย่างง่ายทันทีthailand.idp.com/usa


“ต้องการอุ้มบุญให้ผู้ที่มีลูกยาก และต้องการมีลูกค่ะ ตอนนี้อายุ 24 ปี มีลูก 2 คนค่ะ เคยอุ้มบุญมาแล้ว 1 ครั้งค่ะ เป็นหม้ายค่ะ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สนใจอยากทราบรายละเอียด โทร. 081531xxxx” ลงชื่อ....(06/10/09 20:50)


“ดิฉันสนใจคนที่รับจ้างอุ้มบุญเช่นกัน เคยทำ ICSI มาแล้ว 2 ครั้ง ไม่ประสบความสำเร็จเพราะตัวอ่อนไม่ฝังตัว ทั้งๆ ที่ไข่ก็ดีพอใช้ ผนังมดลูกไม่ได้มีปัญหา ต้องการคนอุ้มบุญที่ไม่ทำงาน อยู่กับบ้านอย่างเดียว เคยมีบุตรมาแล้ว 1 คน อายุบุตรไม่เกิน 2 ปี อายุผู้รับอุ้มบุญไม่เกิน 24-28 ปี ไม่เน้นสวย แต่ต้องจิตใจดี ขอมีการศึกษานิดนึง ขั้นต่ำ ปวช.-ปวส. ขั้นสูงแค่ปริญญาตรี ขอดูรูปถ่ายและประวัติ ค่าจ้าง เหตุผลที่รับอุ้มบุญให้ หากจะรับจ้างจริงมีข้อแม้ต้องตรวจสุขภาพล่วงหน้าก่อนอุ้มบุญ 3 เดือน และใน 3 เดือนก่อนวางตัวอ่อนจนคลอดต้องมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านดิฉันตลอดจนคลอด สนใจติดต่อ ...@hotmail.com ดิฉันอยู่ที่....ค่ะ” ลงชื่อ....(18/08/09 04:50)


“ตอนนี้ฉันท้องได้เดือนกว่า ไม่อยากทำแท้ง หากคัยอยากมีลูกเชิญติดต่อมาได้ที่ 089-896xxxx รีบๆ นะคะ ก่อนที่ฉันจะเอาเด็กออก” ลงชื่อ.....(06/02/10 22:59)


บางที บางคนก็คงอยากจะโทษสวรรค์บ้างเหมือนกันที่กลั่นแกล้งให้เกิดความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นบนโลกมนุษย์ เพราะเมื่อคนหนึ่งอยากมีลูกสุดใจ แต่สวรรค์ใจร้ายไม่ยอมส่งมาให้ หรือส่งพลาดไปอยู่ในท้องใครก็ไม่รู้ที่ยังไม่พร้อมจะยอมเป็น “แม่”


ถ้าไม่โทษสวรรค์ไปเลย ใครกันล่ะที่ผิด...

เรื่องจริง ผู้หญิงอยากเป็น “แม่”

“ให้เขาไปตก 2 แสนบาท มันก็เป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร แต่ทำไมเขา....”


น้ำตาที่คลออยู่ในตาเริ่มปริ่มออกมา พร้อมกับสะอื้นเสียงที่ขาดห้วงไปในลำคอ ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของ เอ (นามสมมติ) ได้ดีไปกว่าตัวเธอเอง

ความพยายามที่มีมานานกว่า 10 ปี กับการจะมีลูกให้ได้สักคนนั้น เป็นความหวังที่เอและสามีเฝ้าฝันมาตลอด เธอเล่าว่า แต่งงานมานานแต่ยังไม่มีลูก จึงไปปรึกษาคุณหมอในคลินิกประจำจังหวัด(ขอสงวนชื่อจังหวัด) แต่เมื่อได้รับคำแนะนำว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ น่าจะช่วยเหลือได้ดีกว่า เอและสามีจึงเดินทางมาหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีแพทย์ ในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง จนแพทย์วินิจฉัยว่า เอไม่สามารถมีลูกเองได้ เพราะมดลูกของเธอมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด

ความหวังดูเหมือนจะดับสลาย แต่เพราะความเห็นใจนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เธอและสามีใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Reproductive Technology) ซึ่งวงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับว่าใช้แก้ปัญหาให้กับคู่สมรสที่มีบุตรยากได้ ปัจจุบันมีหลายวิธี คือ การสร้างเด็กหลอดแก้ว (IVF : in Vitro Fertilization), การทำกิฟท์ (GIFT : Gamete Intra Fallopian Transfer), การทำซิฟท์ (ZIFT : Zygote Intra Fallopian Transfer), การทำอิ๊กซี่ (ICSI : Intra Cytoplasmic Sperm Injection) และการตั้งครรภ์แทน หรือ การอุ้มบุญ (Surrogacy)

สำหรับกรณีของเอ สูติ-นรีแพทย์ แนะนำให้ใช้วิธีการหลังสุด


“ตอนแรกหาญาติมาได้ 3 คน มาตรวจกับคุณหมอ แต่ปรากฏว่ามดลูกของญาติ 3 คนนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร หมอกลัวไม่ติดจึงไม่อนุญาต หลังจากนั้นก็ติดต่อกับผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 40 ปี เป็นคนรู้จักกัน เขารู้ว่าเรามีปัญหาจึงเสนอตัวมาอุ้มบุญให้ คือเขาโปรโมทว่าตัวเองมดลูกดี เราจึงตกลงทำโดยใช้ไข่ของเรากับอสุจิของสามี และมีค่าจ้างให้เขาจำนวนหนึ่ง จ่ายเป็นรายเดือน และพอคลอดลูกแล้วเราก็จะให้อีกเป็นก้อนในตอนหลัง”

ความฝันทำท่าจะกลายเป็นความจริงเมื่อหญิงคนนั้นเต็มใจยอมเป็น “แม่อุ้มบุญ” ให้ นัยน์ตาแสนเศร้าตอนแรกจึงเปล่งประกายขึ้นด้วยความหวัง แต่แล้ว...

“ตอนแรกๆ เขาปฏิบัติตัวดีมาก น้ำหนักขึ้นเป็นปกติดี จนประมาณ 4 เดือน เขาเริ่มเล่นแง่ บอกให้เราไปกู้เงินมาให้ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินจะทำได้ เราจึงปฏิเสธไป หลังจากนั้นเขาก็ไม่เหมือนเดิม ทำตัวเหมือนไม่ใช่คนท้อง จะลุก จะเดิน จะนั่ง ไม่ระวังเลย พอเรากังวลเขาก็บอกว่า เขาเคยท้องมาก่อน ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรมาก พอเราขอจับท้อง เขาก็ไม่ยอมให้จับ ถามว่าลูกดิ้นหรือเปล่าเขาก็นิ่งเฉย หลังจากนั้นน้ำหนักก็ไม่ขึ้นอีกเลย ซึ่งมันไม่ปกติ

“เขาทำอย่างนี้เหมือนกับการจับเด็กในท้องซึ่งก็คือลูกของเราเป็นตัวประกัน ทั้งๆ ที่เราก็ต้องคอยดูแลและเอาใจใส่เขาทุกอย่าง ต้องซื้ออาหารดีๆ ให้กิน ซื้อชุดคลุมท้องให้ และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อยู่นอกเหนือต่างหากจากเงินรายเดือนที่เราต้องให้กับเขา”

ความกลัวเกิดขึ้นในจิตใจของเอและสามีตลอดเวลา ด้วยกังวลว่าลูกในท้องของแม่อุ้มบุญอาจจะไม่ปลอดภัย ทั้งคู่จึงตัดสินใจไปปรึกษาญาติที่เป็นทนายความเพื่อขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ ในที่สุดก็ทำเป็นหนังสือบันทึกข้อตกลงร่วมกัน เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วหญิงคนนั้นจึงยอมยกลูกให้กับเอและสามีโดยดุษฎี

“นี่หรือลูกของเรา” เอน้ำตาไหลเมื่อเล่าถึงวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูกและรู้ว่าลูกของเธอปลอดภัย

วันนี้เอกลายเป็น “แม่” และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่หวังไว้แล้ว

ไม่อยากเป็น “แม่” แค่อยาก “ท้อง”

มองในมุมกลับ หลายคนคงไม่อยากเป็นแม่อุ้มบุญที่โดนฟ้อง หรือถูกครหาว่า “ให้เช่ามดลูก” เพราะสำหรับบางคนแล้ว การได้ดูแลชีวิตน้อยๆ ในท้อง ถือเป็นความสุขที่บรรยายความรู้สึกไม่ได้


“บอกตามตรงว่าอยากไถ่บาป เพราะตอนท้องลูกของตัวเองรู้ตัวช้า รู้ตอนอายุครรภ์ 5 เดือนแล้ว ซึ่งก่อนนั้นไม่ได้ดูแลเลย จริงๆ ก็อยากมีอีกสักคน แต่แฟนบอกว่า คนเดียวก็เลี้ยงไม่ไหวแล้ว ถ้าพูดกันจริงๆ ผู้หญิงเราอยากท้องและได้ดูแลเขาอย่างดีที่สุด แต่จะกลับไปแก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เลยอยากรับอุ้มบุญและจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ยี่หวา (นามสมมติ) สาวเมืองอุบลราชธานี เปิดเผยมูลเหตุที่เธอรับอุ้มบุญแทนสามี-ภรรยาคู่หนึ่งที่รู้จักกันผ่านโลกออนไลน์

ยี่หวา มีลูกชาย 1 คน เมื่อถามว่าถ้าเด็กในท้องของเธอเป็นผู้หญิง จะเปลี่ยนใจไม่ยกเด็กให้พ่อแม่ที่แท้จริงของเขาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีกรณีแม่อุ้มบุญเกิดความผูกพันกับเด็กจนไม่อยากยกเด็กให้แม่ที่แท้จริง

“ต้องให้อยู่แล้ว เพราะเขาไม่ใช่ลูกเรา เราแค่ให้โอกาสเขาได้อยู่ในท้อง มันเหมือนกับเราให้โอกาสเขาเกิดมา ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับเรานี่คือการทำบุญที่ใหญ่หลวง และเราก็เชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจะต้องเป็นคนดีคนหนึ่ง เพราะพ่อแม่เขาเป็นคนดีมากๆ แต่น้องไปเกิดกับเขาไม่ได้ เราเองก็ไม่ได้จะว่าตัวเองดี แต่เราเชื่อว่าเราสามารถดูแลเขาได้ดี อาจจะห่วงบ้างในช่วงแรก แต่ไม่หวงแน่นอน”

สำหรับค่าตอบแทน ยี่หวาพยายามยืนยันว่า เธอไม่ได้ทำการอุ้มบุญเพื่อการค้ากำไร หรือแสวงหาผลประโยชน์เกินตัว ตัวเลขของค่าตอบแทนจึงไม่สูงมาก

“หลักแสนค่ะ แต่นี่ไม่ใช่แพงที่สุดนะคะ เคยมีคนเสนอให้ 4 แสน แต่เขาดุไปหน่อย ให้เราไปอยู่กับเขาตลอดด้วย เราก็ไม่เอา พอได้คุยกับพี่คนนี้(ที่จ้างอุ้มบุญ) ได้เจอกัน เรารู้สึกถูกชะตา เป็นความรู้สึกที่แปลกกว่าคนอื่น ทีนี้ใครมาให้เท่าไรก็ไม่สนใจแล้ว เราซื้อสลากออมสินไว้ด้วยนะ เคยคิดว่าถ้าถูกรางวัลสลากออมสินก็ยังจะรับอุ้มบุญพี่เขา ไม่รู้สิอาจจะเป็นเวรกรรมที่เราทำร่วมกันมาก็ได้” ยี่หวา สรุปชะตาชีวิต

ต่างจาก ฟ้า (นามสมมติ) ที่ยอมรับว่า อุ้มบุญให้ชาวบ้านก็เพราะต้องการเงิน

“ทั้งหมด 350,000 บาท ตอนนี้รอดูอยู่เหมือนกันว่าข้อเสนอใครจะดีกว่า ขอดูข้อเสนอก่อนว่าเป็นไง ถ้าใครให้ดี เราโอเคก็จบ”


ง่ายๆ แค่นี้กับอุ้มท้องลูกของใครสักคนเป็นเวลา 9 เดือนสำหรับฟ้า จากข้อมูลที่เธอเขียนไว้บนกระทู้หน้าเวบไซต์แห่งหนึ่ง มีการระบุราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นระยะๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ราวกับเคยผ่านการอุ้มบุญมาแล้วนับไม่ถ้วน
“ไม่เคยทำค่ะ แค่คิดว่าจะเอาเงินไว้เป็นทุนการศึกษาของลูก เพราะเราอยู่บ้านเฉยๆ”

แม้จะปฏิเสธ แต่คำตอบของเธอก็สวนทางกับความเป็นจริง เพราะเมื่อเราพยายามเลียบเคียงถามว่า จะให้ลูกที่เกิดมาจดทะเบียนเป็นลูกที่แท้จริงของคนจ้างได้หรือไม่

“กฎหมายให้แม่อุ้มบุญเป็นแม่แท้จริง แต่คนไทยน่ะ พูดกันง่ายๆ ก็ยัดเงินให้พยาบาลไปซะ ถ้ามีพวกพ้องเป็นพยาบาลมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ ในกรุงเทพฯ อาจจะยากหน่อย แต่มาต่างจังหวัดสิ สบายเลย จริงๆ หมอเขาก็มีจรรยาบรรณของเขาแหละ แต่บางที...มันคุยกันได้”

คำตอบของว่าที่แม่อุ้มบุญคนนี้อาจกระทบกับความเชื่อมั่นในวงการแพทย์อยู่บ้าง แต่เธอยืนยันว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

แล้วจะแปลกอะไรถ้าแม่คนหนึ่งจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์ของชีวิต นั่นก็คือ "ลูก"

.....................

รอกฎหมาย อึดใจเดียว

คดี Baby M เด็กอุ้มบุญที่เกิดในรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1986 แล้วมีการฟ้องศาลเรียกร้องสิทธิของความเป็นแม่ที่แท้จริง เป็นกรณีศึกษาสุดคลาสสิกที่โด่งดังไปทั่วโลก จนต่อมาอเมริกาต้องออกกฎหมายให้เด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ ได้รับการจดทะเบียนเป็นลูกที่แท้จริงของพ่อ-แม่ เจ้าของตัวอ่อนได้

ธัญญาเรศ เองตระกูล (รามณรงค์) ดาราสาวที่ใช้บริการ “อุ้มบุญ” จากพี่สาวชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองลุงแซม ก็ใช้กฎหมายนั้นจดทะเบียนบุตรที่เกิดมาเป็นลูกที่แท้จริงของตัวเองเช่นกัน

ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงทำให้คู่สมรสหลายคนเกิดความกังวล เพราะไม่อยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขมีสถานะเป็นได้แค่ “บุตรบุญธรรม”

ปี พ.ศ.2543 มีกรณีของสามี-ภรรยา ข้าราชการมหาวิทยาลัยคู่หนึ่ง จดทะเบียนลูกอุ้มบุญเป็นบุตรแท้ แต่ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล และสิทธิอื่นๆ ได้ จนเป็นเรื่องราวที่กระตุ้นให้เกิดการพิจารณากฎหมายการอุ้มบุญ

เวลาล่วงไป 10 ปี วันนี้ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ....หรือ "กฎหมายอุ้มบุญ" ที่หลายคนรอคอยผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา และประกาศใช้ในรูปของกฎหมาย

เนื้อหาสาระค่อนข้างกว้าง แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่การให้สิทธิพ่อแม่ที่ประสงค์จะมีบุตรเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่รองรับ ส่วนผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือแพทย์ผู้ให้บริการต้องมีคุณสมบัติตามที่แพทยสภากำหนด คู่สมรสที่เข้ารับบริการให้มีการตั้งครรภ์แทนก็ต้องจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กรณีหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนก็ต้องไม่ใช่สาวโสดที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาความผูกพัน กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีบุตรมาแล้ว และต้องได้รับความยินยอมจากสามีด้วย

และกฎหมายฉบับนี้พิเศษกว่าฉบับใดๆ เพราะมีผลย้อนหลัง พ่อแม่ที่ใช้บริการอุ้มบุญมาก่อนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอเปลี่ยนสถานะของบุตรบุญธรรมเป็นบุตรแท้ตามกฎหมายได้

ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ในงานเสวนาเรื่อง “360 องศา กับปัญหาแม่อุ้มบุญ” ที่จัดโดย ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ร่างกฎหมายอุ้มบุญฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้คู่สมรสที่ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มีสถานะการเป็นบิดามารดาของเด็กได้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการสร้างหลักประกันให้กับเด็ก พร้อมกันนี้ยังเป็นการควบคุมไม่ให้มีการนำอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อนที่เหลือไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับแม่อุ้มบุญ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำในรูปของการว่าจ้าง หรือประโยชน์ทางการค้า ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหน กฎหมายระบุให้แพทยสภาเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์


ด้าน นพ.สมชาย สุวจนกรณ์ สูติ-นรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพระรามเก้า แสดงความคิดเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ครอบคลุมอีกหลายประเด็น แต่ก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายอุ้มบุญใช้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว


“หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านออกมาบังคับใช้ได้จริงก็จะเป็นประโยชน์กับคนไข้ อย่างน้อยในแง่ของความรู้สึกความเป็นพ่อแม่ที่จะได้เห็นใบแจ้งเกิดของลูกระบุว่า พวกเขาเป็นพ่อและแม่ที่แท้จริง มิใช่เพียงพ่อแม่บุญธรรมเหมือนกฎหมายปัจจุบันระบุไว้ ทั้งนี้คำว่า พ่อแม่บุญธรรม ถือเป็นสิ่งกระทบกับจิตใจ สร้างความสับสน และยิ่งเป็นการซ้ำเติมกับพวกเขาซึ่งมีลูกยากมากขึ้นไปอีก”

http://www.bangkokbiznews.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม